JPT №6 Day1. Back to Tokyo.
It’s been a long day without you my friend, and I’ll tell you about it when I see you again.
Miss you my friend ESSO’s

เราห่างหายไปนานมากๆ กับคำว่าญี่ปุ่นเนื่องจากการมาของโควิด(ที่มีจริงหรือไม่จริงเราก็ไม่อาจรู้ได้ โคจิซังเพื่อนน้าทอมก็พูดแบบนี้) ล่าสุดที่ได้ไปเยือนญี่ปุ่นก็เป็นมิถุนายน ปี 2018 Niseko Hokkaido ครั้งนั้นก็ได้ไปร่วมงานปั่นจักรยานระดับ UCI Tour เลยนะ คืองาน Niseko Classic ยังคงประทับใจอยู่จนทุกวันนี้ ครั้งนี้ก็เหมือนกันไม่รู้เป็นโชคชะตาหรืออะไรผมได้มีโอกาสกลับไป Hokkaido อีกครั้งแต่คราวนี้เป็นฤดูหนาวเพื่อหวังจะไปเล่นสกีที่นั่นซักครั้ง ผมยังจำได้ในคราวที่ไปปั่น Niseko Classic พี่ปูกับครอบครัวพูดถึงการเล่นสกีให้ฟังตลอดทริปว่า Niseko คือสถานที่เล่นสกียอดนิยมของญี่ปุ่นมากๆ ในตอนนั้นผมยังไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะมันดูห่างไกลจากตัวผมมากๆ ถ้าคิดจะเล่น แต่จริงๆ ลึกๆ ในใจก็มีความอยากลองอยู่มากเหมือนกัน คล้ายๆ กับตอน scuba นั่นแหละ อยากแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง

จนเมื่อมีน้าบิกะตาง้วงมาอวดว่าไปเรียนเล่นสโนว์บอร์ดมาจะไปเล่นที่ญึ่ปุ่น ทำให้ปลายปีที่แล้วมีการชักชวนกันจริงๆ จังๆ Project นี้จึงเกิดขึ้น โดยก่อนจะเดินทางผมได้โอกาสไปทดลองเรียนที่ Ski365 เป็นสถานที่ฝึกเรียนสกีและสโนว์บอร์ดจำลองอยู่ที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต ตอนนั้นมีเวลาเพียงแค่ 1 ชม เท่านั้นในการทำความรู้จักกับสกี (จากการดูคลิปใน Youtube มาเยอะ) ในระยะเวลาที่สั้นครูผู้สอนจึงเน้นในเรื่องการควบคุมการหยุดให้ได้ ซึ่งดูเหมือนง่ายแต่จริงๆ แล้วมันยากมากหรืออาจจะเป็นที่ระยะทางของสโลปที่เรียนมันมีระยะสั้นไปหน่อยก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเข้าใจเรื่องอุปกรณ์เช่นการใส่รองเท้าสกี การใส่สกี ถือว่าคุ้มค่าอยู่พอสมควร

ทริปมีสมาชิกด้วยกัน 3 คน คือผม โนบิ และทอม ราฟา เซเลปของชาว audax ทริปนี้ขาดน้าลิมไปเนื่องจากติดธุระต้องดูแลคุณแม่ไม่สะดวกในช่วงนี้ (ซึ่งผมเสียดายมากเพราะโอกาสที่จะได้ไปทริปแบบนี้มันน้อยลงทุกวัน แต่เข้าใจได้แหละ) โดยโนบิเป็นคนจองตั๋วเครื่องบิน ANA Full Service สุวรรณภูมิ — นาริตะ (ราคาไม่แพงมากประมาณ 23,000 กว่าๆ ได้มั้งถือว่าราคาดีเลยจัดซะ) พอซื้อตั๋วเครื่องบินเสร็จก็เป็นอันว่าทุกอย่างได้เริ่มนับ 1 แล้ว สำหรับทริปนี้มีตาง้วงกะเมียจะไปจอยด้วยโดยบอกว่าจะไปเจอกันที่ Sapporo Hokkaido ผมเลยต้องวางแผนเดินทางไป Sapporo ด้วยโดยปริยาย แต่ก็โอเคอยู่เพราะช่วงที่จะไปนั้นเป็นช่วงที่เมือง Sapporo จัดงาน Sappora Snow Festival 2024 ด้วยพอดีโดยจัดระหว่างวันที่ 4–11 กพ 2024

โดยทริปนี้เราเดินทางกันระหว่างวันที่ 3–12 กพ 2024 ออกเดินทางจากกรุงเทพในวันที่ 3 และกลับวันที่ 12 แผนการคร่าวๆ จะเป็นแบบนี้ (แต่มันจะเป็นไปตามแผนไหมไปติดตามในรายละเอียดแต่ละวันกันนะ)
- วันแรกเราไปถึงนาริตะพักที่โตเกียว
- วันที่สองเดินเที่ยวโตเกียว
- วันที่สามไป GALA YUZAWA
- วันที่สี่ไป Sapporo
- วันที่ห้าเจอตาง้วงไปเที่ยวโอตารุ
- วันที่หกไปเล่นสกีที่โทมามุกะตาง้วง
- วันที่เจ็ดพักฮาโกดาเตะ
- วันที่แปดกลับโตเกียว
- วันที่เก้าวันว่างๆ จะไปไหนก็ได้หรือ shopping
- วันที่สิบกลับกรุงเทพ
เรื่องราวก็จะประมาณนี้ เมื่อวันออกเดินทางมาถึงน้าลิมใจดีมารับผมไปส่งสนามบินถึงบ้าน มาถึงเร็วไปหน่อยประมาณตี 3 กะว่าขับรถซักชั่วโมงก็น่าจะถึง ลืมไปว่ามันเป็นตี 3 ใช้เวลาขับไปช้าๆ ประมาณ 40 นาทีก็ถึงแล้ว เลยเป็นอันว่าถึงเร็วไปหน่อยคนอื่นๆ บอกว่าจะรีบไปไหน ถึงเร็วก็เลยมีเวลาเยอะเลยลงไปหาอะไรกินที่ Canteen ของพนักงาน AOT ที่อยู่ชั้นล่างเป็นร้านที่ถ้านักท่องเที่ยวคนไหนรู้แสดงว่ามันไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะผมก็ไม่รู้ (เราเป็นแค่คนเดินทางนานๆ ครั้งไม่มีความจำเป็นจะต้องลงมากินที่ Canteen นี่เลย ฉนั้นการไม่รู้จักก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร) ราคาอาหารก็จะไม่แพงเหมือนที่ชั้น 3 ของสนามบินที่แพงหูฉี่ ราคาที่นี่ก็จะเหมือนกับ Canteen ในย่านพนักงานออฟฟิตกลางเมืองประมาณนั้นไม่ได้ถูกแบบราคา Canteen ของพนักงานแบงค์

ซักพักน้าทอมก็มาถึงนั่งกินข้าวคุยกันไปซักพักประมาณตี 5 ก็ขึ้นไปรอโนบิที่ชั้น 4 ชั้นผู้โดยสารขาออกกัน ประมาณตี 5 ครึ่งโนบิก็มาถึงจัดการ check-in load กระเป๋าเรียบร้อยก็ บายๆ น้าลิม ขึ้นบันได Stair of sorrow (ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้สมยานามไว้) ผ่านพิธีการของ ตม. มีเรื่องแปลกให้ผมสงสัยเรื่องหนึ่งคือระหว่างรอเข้าเครื่อง ตม. self service แถวเราคือแถว passport ไทย แต่ไอ้คนที่ต่อหลังผม 3 คนมันคือฝรั่งแบบไม่ใช่ลูกครึ่งอะ ฝรั่งขี้นกแท้ๆ เลยอะ ผมยังเกือบจะหลุดปากบอกไปว่านี่แถว passport ไทยนะ ดีที่ปากหนักไม่ได้พูดไป พอผมผ่านมาได้มันก็เข้าตามมาและก็ผ่านเหมือนกัน ผมเลยสงสัยถามพวกโนบิกะน้าทอมก็ได้คำตอบว่าพวกเขาก็น่าจะถือ passport ไทยแหละ ไม่งั้นจะผ่านได้ไง (อันผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆ มันคือยังไงกันแน่ ถ้าใครรู้ก็บอกหน่อยละกัน)

เครื่องของเราขึ้นตอนประมาณ 7 โมงกว่าๆ ก็มีเวลาเดินเตร่นั่งกินกาแฟกันพักใหญ่ๆ ก่อนจะเดินไปที่ Gate ที่นั่งขาไปผมกับโนบินั่งติดกันมีฝรั่งนั่งริมทางเดิน ส่วนน้าทอมแยกไปนั่งอีกที่ ฝรั่งตัวใหญ่นั่งติดริมทางเดินจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำทีลำบากสุดๆ อาหารบนเครื่องบินที่เลือกเป็นข้าวหน้าปลาแซลมอลไข่และไก่หวานๆ จัดเรียงมาเป็นลายๆ เต็มกล่อง (วันหลังตอนไปซื้อข้าวกล่องขึ้นไปกินบนรถไฟระหว่างเดินทางก็เห็นเหมือนกันว่ามีข้าวแบบบนเครื่องบินด้วย) รสชาติดีงามมากๆ ปกติเที่ยวบินขาไปญี่ปุ่นถ้าเป็นตอนกลางวันช่วงที่บินผ่านเขาฟูจินักบินมักจะมีโฉบเข้าไปให้นักท่องเที่ยวเห็นวิวฟูจิซังจากบนท้องฟ้าแต่เที่ยวบินของเราแค่เฉียดๆ เท่านั้นมองเห็นอยู่ไกลๆ เครื่องลงที่สนามบินนาริตะ terminal 1 เวลาประมาณบ่าย 3 ได้ผ่านพิธีการทาง ตม. ง่ายมากๆ ไม่เจอคนเลยเจอแต่เครื่องเท่านั้น เหมือนที่โนบิบอกไว้จริงๆ

หลังจากออกและรับสัมภาระมาได้เรียบร้อยแล้วสิ่งแรกที่ต้องทำคือไปต่อคิวซื้อตั๋ว Skyliner + 48 Metro pass ที่สำนักงานของ Keisei นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรเราต่อแถวอยู่พักใหญ่ๆ กว่าจะเรียบร้อย ราคาประมาณ 5280 เยน หรือไงนี่แหละจำได้ไม่ถนัด เรียบร้อยก็หาซื้อน้ำกะของกินแก้หิวใน Family Mart หน่อยเอาไปกินบนรถไฟ รถไฟ Skyliner ออกประมาณ 4 โมงเย็นกว่าๆ ได้มั้ง เรานั่งมาถึง Ueno เป็นสถานีสุดท้ายปลายทางฟ้าก็มืดเป็นที่เรียบร้อย โนบิพาน้าทอมเดินท่องเที่ยวจากสถานี Keisei ผ่านอุโมงใต้ดินที่ดูเหมือนจะตกแต่งใหม่ดูสดใสขึ้นเพื่อมาขึ้นรถไฟใต้ดินสายที่คุ้นเคยคือ Ginza Line สายสีเหลือง (จริงๆ มันส้มๆ เหลืองๆ ไม่รู้จะเรียกว่าสีอะไรดีเอาเหลืองละกัน) ที่พักของเราสามคืนจากนี้คือที่ K’s House Tokyo Oasis ติดใจจาก K’s House ที่ Kawaguchiko เลยจองที่นี่อีกอย่างตอนแรกมองว่าใกล้สถานีรถไฟขึ้นมาหน่อยเดียวเดิน 50 เมตรก็ถึงแล้ว แต่ๆ ดันดูไม่รอบครอบเพราะสถานีที่ว่าดันเป็นของรถไฟ Tsukuba Express (Tx) ซะงั้น มันไม่รวมอยู่ในตั๋ว Metro ของเรา เลยต้องลากกระเป๋าเดินเล่นไปในย่าน Asakusa กันแบบสนุกสนานเลย

เดินผ่ามาย่านใจกลาง Asakusa ผ่าน Donkey ถนนมีโคมไฟประดับประดาเหมือนกลางคืนจะมีการจัดงานอะไรกัน เดินอีกซักพักก็ถึงแล้วที่พักของเรา staff ของที่พักเป็นฝรั่งหนึ่งคนผู้ชายกับสาวสวยอีกหนึ่งคนการ check-in ก็เรียบง่ายสไตล์เดิมเรียบร้อยได้ห้องชั้น 4 เป็นห้องส่วนตัวที่ปกติจะนอน 4 คนแต่เรานอนแค่สามคนสบายๆ ก่อนจะขึ้นลิฟ staff สังเกตุเห็นเสื้อ Ed Sheeran Tour ที่น้าบิใส่เขาถึงกับถามว่าได้มายังไง ผมบอกให้น้าบิขายเขาซัก 20,000 ก็สบายไปแล้ว (ซื้อมาแค่ 20 บาทเอง ^^) ห้องพักของเราดีงามมากเป็นเตียงสองชั้นนะ มีห้องน้ำในตัวสบายเลย ถือว่า ok ชอบ เราเก็บข้าวของเสร็จก็ลงไปเพื่ออกไปหาข้าวมื้อเย็นกินกัน

มื้อแรกของเราที่โตเกียวไม่เรื่องมากเจอ Matsuya ก็เข้าไปกันเลย เข้าไปกดที่ตู้ขายตั๋ว มาญี่ปุ่นคราวนี้ทั้งโนบิและน้าทอม present บัตร travel card มาก ต่างจากผมที่เป็นพวกหัวโบราณชอบใช้เงินสด เราลองกดเลือก order ที่ต้องการเรียบร้อยแต่พอถึงชั้นตอนจ่ายตังสองน้าก็ลองใช้บัตรเลยแต่ไม่รู้ต้องแตะหรือสอด ปรากฏว่าเครื่องแฮงค์ไปเลย ฮ่าๆ ไม่สำเร็จต้องไปกดตู้อื่นซักพักพนักงานร้านก็เดินมาเอากุญแจไขแล้ว reset เครื่องใหม่แล้วบอกเราว่าให้ทำยังไงจริงต้องแตะแหละถูกแล้ว ในที่สุดก็ได้ order มาเป็นที่เรียบร้อย ปกติพวกตู้กดตั๋วแบบนี้เมื่อได้ตั๋วมาเราต้องเอาไปให้พนักงานตามที่เคยทำ แต่ที่นี่ไม่ต้องคิวจะรันเองแล้วพนักงานจะเรียกเมื่อ order เรียบร้อยแล้ว ผมก็พยายามเดินจะเอาไปให้เขาๆ ก็บอกว่าไม่ต้องๆ เราก็งงๆ ซักพักก็อ๋อ การมาโตเกียวครั้งนี้เราสังเกตุได้ชัดเจนมากๆ เลยว่าแรงงานตามร้านพวกนี้หรือตามร้านในห้างจะเป็นชาวต่างชาติเกือบหมดร้านนี้เป็นคนจีน ร้านอื่นๆ ที่เจอจะเป็นอินเดียบ้าง หรือชาติอื่นๆ บ้าง ร้านสะดวกซื้อก็เป็น (แต่ที่ sapporo ยังเป็นคนญี่ปุ่นบ้างนะ)

ข้างนอกอากาศในโตเกียววันนี้หนาวมากแต่ในร้านนี่ร้อนจนเหงื่อตก เรากินกันเสร็จเรียบร้อยก็ออกมาเดินเล่นย่อยอาหารโดยการพาน้าทอมเดินลัดเลาะไปด้านหลังของวันเซนโซจิ ปกติแล้วถ้าเราไม่ได้พักแถวๆ นี้เราก็จะไม่ได้เดินลัดเลาะตามเส้นทางแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเข้าทางด้านหน้าทางประตู Kaminarimon ยิ่งตอนนี้เป็นตอนค่ำๆ ในหน้าหนาว ร้านค้าบริเวณถนน shopping ปิดกันหมดเรียบร้อยแล้วรวมถึงศาลเจ้า Sanso-ji ก็ปิดแล้วแต่ยังคงมีนักท่องเที่ยวต่อแถวเข้ามาไหว้กันอยู่โดยทางวัดเขาจัดที่ไว้ด้านหน้าประตูให้ ศาลเจ้าที่เปิดไฟยามค่ำแบบนี้ก็ดูสวยงามไปอีกแบบมีแค่นักท่องเที่ยวที่พักแถบๆ นี้แหละที่จะมีโอกาสเห็น เพราะคงไม่มีใครมาเที่ยวตอนที่วัดเขาปิดแล้วกันหรอกนะผมว่า อากาศหนาวได้ใจจริงๆ แต่อากาศดีนะ ท้องฟ้าโปร่ง จากนั้นเราก็พาน้าทอมเดินไปทางด้านริมแม่น้ำสุมิดะที่สะพานแดงไปถ่ายรูปกับตึกอาซาฮีรูปอุนจิและก็ Tokyo Skytree

พอเดินมาที่จุดนี้ก็ทำให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยมาเดินเที่ยวชมพลุกันตอนนั้น esso ก็มาด้วย เขาปิดถนนให้เราเดินกันเลย เดินยาวๆ กันไปจนถึง Tokyo Skytree หลายคนในวันนั้นก็จากกันไปมีทั้งจากเป็นและจากตาย ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ มีโอกาสรู้จักกันก็ขอให้ทำดีต่อกันไว้ก็พอ

หลังจากถ่ายรูปกันตรงจุดนั้นพอใจแล้ว ก็พากันเดินมาทางด้านหน้าประตู Kaminarimon เพื่อถ่ายรูปคู่กับ Landmark จุดนี้ตอนไม่มีนักท่องเที่ยวแต่ผิดคาด เพราะยังคงมีนักท่องเที่ยวเจ้าบ้านพากันมาถ่ายรูปกันเยอะอยู่ (จนน้าทอมยังถามเลยนี่มันบ้านเขาเขาจะมาถ่ายอะไรกัน ก็คงจะเป็นเหมือนเราไม่ได้ไปเที่ยววัดพระแก้วกันทุกวันนั้นแหละมั้ง นานๆ เราจะไปทีก็ขอถ่ายรูปซะหน่อยทำนองนั้น) โนบิเลยพาขึ้นไปบนจุดชมวิวชั้น 8 บนตึก Asakusa Culture Tourist Information Center ที่อยู่ตรงข้ามซึ่งขึ้นฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายผมเองก็ไม่เคยเหมือนกัน บนจุดชมวิวยามค่ำคืนแบบนี้ถ่ายรูปคู่กับ Tokyo Skytree ฟินมากๆ โดยในตึกนี้จะมีนิทรรศการเกี่ยวกับอดีตความเป็นมาของย่าน Asakusa มีทั้งแบบเป็นหนังสารคดีฉายในโรงและภาพนิ่งไว้ให้นักท่องเที่ยวชมฟรีด้วย ใกล้เวลาปิดทำการแล้วเราก็เดินกลับลงมาจากชั้น 8 ไปถ่ายรูปคู่กับโคมหน้าประตู Kaminarimon กันหน่อยก่อนกลับ นักท่องเที่ยวเริ่มน้อยลงแล้ว ก่อนจะกลับเข้าที่พักโนบิก็พาแวะ 7–11 ระหว่างทางที่เดินผ่านไปลองกดเงินที่ตู ATM ของ 7–11 และก็ซื้อขนมของกินเล็กๆ น้อยเอาไปนั่งกินเล่นที่ที่พักของเรา ผมได้มีโอกาสแนะนำโยเกิร์ตเทพที่ผมกะน้าลิมชอบกินให้น้าทอมลองดูปรากฏว่าไม่พลาดน้าทอมก็ติดใจเหมือนกัน (แต่มันหาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนจะมีแค่ที่ 7–11 Family Mart กับ Lawson ก็ไม่มี)

กลับมาถึงที่พักประมาณ 4 ทุ่มได้พากันมานั่งเล่นที่โต๊ะอุ่นขาหน้าลิฟกินขนมที่ซื้อมาและสนทนากันไป การไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันและมีโอกาสพัก Hostel ด้วยกันก็จะมีช่วงเวลาให้เราได้นั่งสังสรรกันแบบนี้บ้างเป็นการใช้ชีวิตร่วมกันในช่วงเวลาสั้นๆ โนบิหยิบกีต้าที่วางอยู่มาเล่นไม่น่าเชื่อว่าน้าบิมันก็เล่นดนตรีเป็นเหมือนกันอันนี้เซอร์ไพรส์นะ นั่งเล่นกันประมาณครึ่งชั่วโมงก็กลับขึ้นห้องพักกัน อากาศในห้องหนาวพากันหาปุ่มเปิดฮีทเตอร์กันใหญ่กว่าจะเจอ แต่น้ำอุ่นในห้องน้ำก็ช่วยเยียวยาได้นะมันอุ่นสบายจริงๆ ที่นอนก็อุ่นสบายจริงๆ perfect มาก ระหว่างนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในห้องผมก็แปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้าทอมแกพูดคนเดียวยังนึกสงสัยว่าเขาทำอะไร มารู้ว่าแกใช้ฟีเจอร์ voice to text ในการ post ลง FB น้าทอมเป็นโซเชียลแมนคนหนึ่ง ในทริปนี้ถ้าใครติดตาม FB น้าทอมนี่แทบจะไปเที่ยวด้วยกันเลยทีเดียวเพราะแก update ตลอดเกือบทุกๆ ชั่วโมงเลยทีเดียว และอีกอย่างน้าทอมแกเพื่อนเยอะจริงๆ ที่ญี่ปุ่นนี่ก็อย่างน้อย 3 คนเข้าไปแล้ว (โอซาก้า โตเกียว และก็ฮฮกไกโดที่เป็นคนไทยส่วนสองคนแรกเป็นคนญี่ปุ่น มีคนหนึ่งที่เรามีโอกาสได้ไปพบเขาด้วยเป็นอีกหนึ่ง moment ดีๆ ของทริปนี้เลยละ ^^)

จบวันแรกบนที่นอนอุ่นๆ พรุ่งนี้ตื่นสายได้เพราะเราไม่มีแผนต้องออกไปไหนแต่เช้า ตื่นกันสบายๆ ไม่ต้องรีบร้อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ
Jiffy’s
(3/2/2024)
つづく