Switzerland แดนในฝัน ตอนที่ 18: Zermatt เมืองปลอดมลพิษ

Jiffy Vatchara
3 min readMay 16, 2023

--

หลังจากลงจากขบวนรถไฟแล้วเราสามารถเข้าไปยังลานหิมะที่เพื่อที่จะชมยอด Matterhorn ได้โดยการใช้ตั๋วรถไฟที่เราโดยสารมาสอดเข้าไปที่เครื่องกั้นประตูจากนั้นเราก็จะผ่านเข้าไปยังส่วนที่เป็นลานและอาคารต่างๆ ได้

ตรงบริเวณร้านขายของที่ระลึกจะมีหมาเซนต์เบอร์นาดนอนอยู่หน้าร้าน 1 ตัว เป็นหมาเซเลบไว้ถ่านรู้กับนักท่องเที่ยวแต่ว่าไม่ได้ถ่ายกันฟรีๆ นะเสียเงินด้วยจ้า ไม่แน่ใจว่ากี่ฟรังซ์ เลยจากอาคารร้านขายของที่ระลึกออกไปจะเป็นลานหิมะกว้งใหญ่อยู่บนไหล่เขาสามารถมองเห็นยอด Matterhorn จากจุดนี้ได้ชัดเจนสุดๆ ในวันที่ท้องฟ้าเปิด (แต่ถ้าฟ้าปิดนี่จุดนี้ก็ไม่สามารถมองเห็นยอด Matterhorn เหมือนกันนะ)

นักท่องเที่ยวต่างตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็น ทิวทัศน์ที่สวยงามและฉากหลังที่เป็นรูปภูเขาชื่อดังที่เราเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะได้มีโอกาสมายืนมองมันด้วยขาและตาของตัวเองจริงๆ นักท่องเที่ยวต่างคนก็ต่างถ่ายภาพเพื่อเก็บเป็นความทรงจำของแต่ละคนกันใหญ่ หิมะช่วงนี้ยังคงหนาอยู่ใครที่ชอบหิมะก็คงจะถูกใจมากๆ สังเกตุดูวันนี้คนไทยก็ขึ้นมาเที่ยวบนนี้กันเยอะมาก เจอคุณแม่คุณลูกสาวคู่หนึ่งมาเที่ยวกันสองคนนัยว่าตามสามีที่เป็นข้าราชการมาประชุมเลยถือโอกาสมาเที่ยวซะหน่อย เผอิญคณพี่เขาเก็บหมวกหรือผ้าพันคอของนักท่องเที่ยวไทยได้นี่แหละ แล้วจะเอาไปคืนให้แต่เรียกแล้วเขาไม่หันเลยตามไปไม่ทันจะมาฝากให้เจ๊มี๋เก็บไว้ ดีที่เจ๊แกนึกได้เรื่องรับฝากข้าวของในต่างประเทศแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่สมควรและก็ควรระวังเลยไม่ได้รับเอาเอาไว้ ถึงจะเห็นว่าเป็นของอะไรก็เถอะแต่กันไว้ก่อนก็ดี

หลังจากเก็บภาพบริเวณลานด้านหน้ากันจนพอใจแล้วเราก็พากันเดินขึ้นไปตามทางที่เห็นมีอาคารหลังใหญ่อยู่ด้านบนเพื่อขึ้นไปชมวิวในมุมสูงรวมถึงเข้าไปเพื่อหลบความหนาวด้วย ด้านบนจะมีอาการที่เป็นร้านค้าและร้านอาหารอยู่ส่วนด้านนอกถัดไปหน่อยจะมีโบสถ์ตั้งอยู่ด้วย

ท่านผาท่าทางจะหิวข้าวเลยมาจัดซุบฟักทองกับอะไรอีกซักอย่างรองท้องซะหน่อยผมก็เลยเอามั้งได้ไก้ทอดกับอะไรไม่รู่มานิดหน่อยราคามันแพงมหาโหดจริงๆ พวกที่เหลือได้นั่งพักผ่อนในอาคารให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นหน่อย

ใช้เวลาอยู่ในอาคารกับพักใหญ่ก็จะได้เวลารถไฟรอบถัดไปจะมาแล้วเรากะว่าจะนั่งรถไฟไปลงที่สถานีข้างหน้าแล้วจะไปชมบึงน้ำที่ชื่อริเฟนซี อะไรนี่แหละเพราะว่าอ่านจะในพันทิพมาเขาว่าสวยแล้วจะมีภาพสะท้อนของยอด Matterhorm ในน้ำด้วย ก่อนรถไฟจะมาเราก็เข้าไปหาซื้อของฝากจากภายในร้านขายของที่ระลึกข้างล่างกัน ช่วงนี้มีสิ้นค้าลดราคา 50% อยู่ด้วย เลยจัดมา 2–3 ชิ้น (น่าเสียดายที่ซื้มาน้อยไปหน่อยพอกลับมาถึงเมืองไทยแล้วก็นึกเสียดาย โดยเฉพาะแก้วน้ำที่เป็นโลหะที่มีโลโก้ของ Matterhorn) เมื่อรถไฟมาเราก็พากันขึ้นรถไฟจากนั้นเมื่อมาถึงสถานีที่เราตั้งไว้เราก็พากันลงไปซึ่งมีพวกเราแค่กลุ่มเดียวที่ลงไปนั้นแหละ เจ้าหน้าที่ด้านล่างก็เลยถามพวกเราว่าตั้งใจจะลงที่นี่จริงๆ เหรอ เราก็บอกว่าเราอยากจะไปบึงน้ำที่ว่ามีป้ายชี้ไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่ก็ตอบกลับมาว่าตอนนี้บึ่งที่ว่ากลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดแถมมีหิมะปกคลุมไปหมดเส้นทางก็เลยปิดไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวไปชมได้ เราก็เลยต้องกลับขึ้นไปบนรถไฟเหมือนเดิมเพื่อลงไปยังตัวเมือง Zermatt

กลับลงมายังตัวเมืองช่วงเย็นฟ้ายังสว่างอยู่เลยถึงจะปาเข้าไป 6 โมงกว่าไปแล้ว เมื่อขามาตอนที่นั่งรถไฟพี่มี๋สังเกตุเห็นร้าน Denner อยู่ระหว่างทางใกล้ๆ กับสถานีจึงชวนกันไปเดินเนื่องจากติดใจในความถูกของร้านนี้มาจาก Interlaken ก็จริงตามที่คิด Denner อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมานักแค่เดินขึ้นไปประมาณ 200 เมตร ก็ถึงแล้ว

ที่นี่ผมได้ลองกินกาแฟสดพร้อมดื่มยี่ห้ออะไรน่ะนึกไม่ออก ดูท่าทางจะเป็นกาฟายี่ห้อดังของที่นี่เพราะว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนเราก็ต้องเจอกาแฟยี่ห้อนี้ เหมือนกาแฟสตาบัคในร้าน 7–11 ที่ญี่ปุ่นนั้นแหละ มีอยู่หลายรสชาติที่เดียว ผมได้ลองกินครบทุกรสชาติในชวงที่อยู่ที่นั่นเลย สรุปแล้วผมว่า Espreso รสชาติดีสุดมันไม่เข้มจนขมแต่อร่อย ส่วนพวกลาเต้หรือมอคค่ามันดูรสชาติอ่อนไปหน่อย ที่ Derner แก้วใหญ่ราคาไม่ถึง 5 CHF มั้งถ้าจำไม่ผิดถูกกว่าที่อื่นๆ หลังจากสาวๆ พากันเดินช็อปปิ้งใน Denner ได้ซักพักก็พากันออกมายังไม่มีอะไรที่ถูกใจมากกนัก เราพากันเดินต่อมายังย่าน shopping

กลางเมืองตรงข้ามสถานีรถไฟจะมีร้านค้าและโรงแรมอยู่เต็มไปหมด แล้วสาวๆ ก็เห็นเป้าหมายคือ COOP เลยพลาดไม่ได้ที่จะต้องขอเข้าไปดูซะหน่อย ผมขี้เกียจเข้าไปด้วยเลยขอนั่งรอที่ม้านั่งตรงหน้าสถานีรถไฟดีกว่า ระหว่างนั่งเล่นชิลๆ สบายๆ อากาศเย็นๆ มีความสุขจริงๆ ซักพักก็สังเกตุว่ามีรถไฟขบวนใหม่เข้าสถานีมามีผู้โดยสารกลุ่มใหญ่มากๆ ลงมาจากรถขบวนนั้น พอมองไปก็เห็นว่าเป็น group tour ของนักท่องเที่ยวชาวไทยนั่นเอง กลุ่มใหญ่มากๆ ประมาณ 50 คนได้ หัวหน้าทัวร์ก็กำลังออกคำสั่งเหมือนต้อนฝูงแกะที่กำลังแตกกระจายอยู่ ตะดกนป่าวๆ ว่าให้เอากระเป๋าวางไว้เป็นกลุ่มๆ เด่วพนักงานจากโรงแรมจะขนขึ้นรถที่มาจอดรออยู่ขนไปยังโรงแรมให้ ให้เดินไปยังดรงแรมกันก่อนอย่าเพิ่งแยกไปไหน ผมนั่งมองอยู่ก็นึกไปว่าเรานี่มันโชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องเสียเงินแล้วยังต้องมาโดนต้อนเหมือนฝูงอะไรก็ไม่รู้ ชิวิตนี้เลือกได้จริงๆ

ซักพักท่านผ่านก็เดินออกมาจากร้าน 100 เยน (เปรียบเทียบนะครับ) เห็นบอกว่าจะเข้าไปซื้อมีโกนหนวดหน่อยตั้งแต่มานี้ยังไม่ได้โกนหนวดโกนเคราจนหน้าเมือนองค์คุลีมารเข้าไปทุกทีแล้ว นั่งพักที่เก้าอี้แล้วก็เห็นรถตำรวจของที่นี่วิ่งเข้ามาจอด

ช่างเท่จริงๆ ลืมบอกไปว่าเมืองนี้เขาไม่มีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันนะครับรถจะเป็นรถไฟฟ้าคันเล็กๆ ไม่เว้นแม้รถตำรวจ ไม่นานสาวๆ ก็พากันกลับออกมาจาก COOP ได้ของฝากมากันบ้างเล็กน้อย (มีอันหนึ่งเป็นขนมอร่อมมากกลับมาถึงเมืองไทยแล้วเพิ่งได้กินแล้วรู้ว่ามันอร่อยคล้ายทองม้วน เสียดายรู้งี้ซื้มาเยอะๆ ก็ดี วัลยาก็บอกว่าเห็นคนไทยหอบกันเหมือนซื้อ kitkat รสชาเขียวที่ญี่ปุ่นยังไงยังงั้น) ยังเหลือเวลาอีกหน่อยยังไม่ค่ำไม่รู้จะไปไหนดี ผมเลยคิดว่าจะเดินไปที่กระเช้าที่จะไปหมู่บ้านฟูริดูหน่อยเพื่อพรุ่งนี้มีโอกาสจะได้ไปเดินเล่น

แต่ดันพาเดินไปผิดทิศจริงๆ ต้องเดินขึ้นไปทางทีพักของเราเหนือแม่น้ำขึ้นไป ไม่ใช่เดินย้อนลงไป เสียเวลาเดินหาไปจนค่ำพระอาทิตย์ลับเขาไปแล้วพวกเจ๊ๆ บอกเดินไม่ไหวแล้วกลับบ้านกันเถอะ ก็เลยพากันกลับบ้านเพราะยังไม่ได้ Check-in เข้าที่พักเลย เมื่อมาถึงก็เจอเจ้าหน้าที่สาวสวยคนเดิมเอาเอกสารมาให้กรอกก็เป็นเอกสารเหมือน guesthouse ทั่วไปๆ หลังจากกรอกเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้หมายเลขห้องมาตอนแรกเข้าใจว่าอยู่ชั้นสองเขาถามว่า okไหม แค่ชั้นสองเราก็ ok ซิไม่สูงมาก แต่ซักพักหลังจากเราไปเดินเอาหมายเลขห้องไปหาเท่านั้นแหละลมแทบจับ เพราะว่าห้องที่เราได้นั้นเป็นห้องใต้หลังคาอยู่สูงจากชั้น 5 ขึ้นไปอีก พวกเจ้ๆ ถึงกับลมจับไม่ไหวบอกให้ลองไปขอเปลี่ยนห้องดูว่ามีห้องอื่นไหมที่ต่ำกว่านี้ สุดท้ายก็ไม่ได้จำต้องปีนบันไดขึ้นไปยังห้องพัก โดยแบ่งเอาเฉพาะของใช้จำเป็นขึ้นไปส่วนกระเป๋าใบใหญ่เอาฝากไว้ใน locker ข้างล่างแทน

ภายในห้องเป็นเตียงนอนรวมติดๆ กันเหมือนที่พักในค่ายลูกเสือเป็นห้อง dorm เแบบรวม มีพวกเราพักกัน 7 คน แต่มีอยู่ 1 คนที่มาพักอยู่ก่อนหน้าเราแล้วต่างก็พากันนึกไปว่าเป็นใครผู้หญิงหรือผู้ชาย

มานอนอยู่บนนี้คนเดียวไม่กลัวผีหรือไงน่ะ (สรุปมารู้ตอนดึกๆ หลังจากเราเข้านอนไปแล้วกำลังหลับๆ อยู่ก็ได้ยินคนเดินขึ้นมาพอลืมตาก็เห็นว่าเป็นผู้หญิง

ตอนเช้ามาก็รู้ว่าเป็นสาวอเมริกาหน้าตาสะสวยออกแนวขาวสวยไม่หมวยแต่เอ๊อกว์มากกกก) ที่นี้ไม่มีห้องให้ทำครัวแต่เมื่อเรามีหม้อวิเศษของเราอยู่ที่ไหนเราก็ทำได้ จัดการหุ้งข้าวเรียบร้อยแล้วก็เอาลงไปกินที่ห้องอาหารที่อยู่ที่ชั้น 2 กัน ที่ชั้น 5 ที่เป็นชั้นที่มีห้องน้ำน่าจะมีแขกพักอยู่หลายคน แล้วก็ชอบเจอสาวเอามาออาบน้ำในห้องน้ำฝั่งผู้ชายประจำเลย เจ๊แกไม่รู้หรือว่าแกขี้เกียจไปฝั่งผู้หญิงไม่รู้ จบวันแห่งการผจญภัยที่สุดแสนจะเหน็ดเหนื่อยไปอีกวัน พรุ่งนีเราจะไปไหนกันต่อ ติดตามกันได้ในวันที่ 9 ครับ

Jiffy’s

Bye

--

--

No responses yet